ดาวตกเกิดจากสะเก็ดดาว
(meteoroid)
ซึ่งเป็นชิ้นส่วนของดาวหางและดาวเคราะห์น้อย
เคลื่อนเข้าสู่บรรยากาศโลก
หากสังเกตจากสถานที่ซึ่งท้องฟ้ามืดสนิท
ไม่มีเมฆหมอก
แสงจันทร์
และแสงไฟฟ้ารบกวน
โดยทั่วไปสามารถมองเห็นดาวตกบนท้องฟ้าได้เฉลี่ยราว
6
ดวงต่อชั่วโมง
ดาวตกที่สว่างมากเรียกว่าลูกไฟ
(fireball)
หากระเบิดเรียกว่าดาวตกชนิดระเบิด
(bolide)
ซึ่งบางครั้งก่อให้เกิดเสียงดัง
เส้นทางที่สะเก็ดดาวจำนวนมากเคลื่อนที่เป็นสายไปในแนวเดียวกันในอวกาศเรียกว่าธารสะเก็ดดาว
(meteoroid
stream)
แรงโน้มถ่วงของวัตถุต่าง
ๆ
ในระบบสุริยะ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งดาวเคราะห์
ส่งผลรบกวนต่อธารสะเก็ดดาว
เมื่อโลกเดินทางฝ่าเข้าไปในธารสะเก็ดดาว
ซึ่งเกิดขึ้นหลายช่วงของปี
จะทำให้เห็นดาวตกหลายดวงดูเหมือนพุ่งออกมาจากบริเวณเดียวกันบนท้องฟ้า
ซึ่งเป็นมุมมองในเชิงทัศนมิติ
ลักษณะเดียวกับที่เราเห็นรางรถไฟบรรจบกันที่ขอบฟ้า
เรียกปรากฏการณ์ที่เห็นดาวตกดูเหมือนพุ่งมาจากจุดเดียวกันนี้ว่าฝนดาวตก
(meteor
shower)
ในรอบปีมีฝนดาวตกหลายกลุ่ม
แต่ละกลุ่มมีลักษณะและจำนวนความถี่แตกต่างกันตามแต่องค์ประกอบและความเร็วของสะเก็ดดาว
ฝนดาวตกบางกลุ่มอาจมีเพียงไม่กี่ดวงต่อชั่วโมง
แต่ก็ยังเรียกว่าฝนดาวตก
ดาวตกจากฝนดาวตกสามารถปรากฏในบริเวณใดก็ได้ทั่วท้องฟ้า
แต่เมื่อลากเส้นย้อนไปตามแนวของดาวตก
จะไปบรรจบกันที่จุดหนึ่ง
เราเรียกจุดนั้นว่าจุดกระจาย
(radiant)
ชื่อฝนดาวตกมักตั้งตามกลุ่มดาวหรือดาวฤกษ์ที่อยู่บริเวณใกล้จุดกระจาย
ดาวตกจากฝนดาวตกจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อจุดกระจายขึ้นมาอยู่เหนือขอบฟ้าแล้ว
ฝนดาวตกแต่ละกลุ่มจึงมีช่วงเวลาที่เห็นได้แตกต่างกัน
แสงจันทร์และแสงจากตัวเมืองเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการสังเกตดาวตก
จึงควรหาสถานที่ซึ่งท้องฟ้ามืด
ยิ่งฟ้ามืดก็จะยิ่งมีโอกาสเห็นดาวตกได้มากขึ้น
อัตราตกของฝนดาวตกมักสูงสุดในช่วงที่จุดกระจายอยู่สูงบนท้องฟ้า
จึงควรเลือกเวลาสังเกตให้ใกล้เคียงกับช่วงที่ตำแหน่งของจุดกระจายอยู่สูงสุด
ซึ่งสามารถหาได้จากการหมุนแผนที่ฟ้า
หรือซอฟต์แวร์จำลองท้องฟ้า
หลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่มีแสงจันทร์รบกวน
และสังเกตก่อนที่ท้องฟ้าจะสว่างในเวลาเช้ามืด
บางปี
ฝนดาวตกบางกลุ่มจะมีอัตราตกสูงเป็นพิเศษ
เกิดขึ้นเมื่อโลกโคจรผ่านธารสะเก็ดดาวในส่วนที่มีสะเก็ดดาวอยู่หนาแน่น
ปัจจุบัน
วิธีการพยากรณ์ว่าจะมีฝนดาวตกที่มีอัตราตกสูงมากเมื่อใด
กระทำโดยสร้างแบบจำลองทำนายการเคลื่อนที่ของสะเก็ดดาว
แล้วคำนวณว่าโลกจะมีเส้นทางผ่านธารสะเก็ดดาวนั้นเมื่อใด
ฝนดาวตกในปี 2561
ฝนดาวตก |
ช่วงที่ตก |
คืนที่มีมากที่สุด |
เวลาที่จุดกระจายขึ้นเหนือขอบฟ้า (ประมาณ) |
อัตราตกสูงสุดในประเทศไทย (ดวง/ชั่วโมง) {ไม่ใช่ ZHR} |
หมายเหตุ |
ควอดแดรนต์ |
28 ธ.ค. - 12 ม.ค. |
3/4 ม.ค. |
02:00 น. |
15 (4-6 น.) |
แสงจันทร์รบกวน |
พิณ |
16-25 เม.ย. |
22/23 เม.ย. |
22:00 น. |
15 (3-5 น.) |
แสงจันทร์รบกวนก่อนเที่ยงคืน |
อีตาคนแบกหม้อน้ำ |
19 เม.ย. - 28 พ.ค. |
5/6/7 พ.ค. |
02:00 น. |
15 (4-5 น.) |
แสงจันทร์รบกวน |
เดลตาคนแบกหม้อน้ำใต้ |
12 ก.ค. - 23 ส.ค. |
29/30/31 ก.ค. |
21:00 น. |
5 (1-3 น.) |
แสงจันทร์รบกวน |
เพอร์ซิอัส |
17 ก.ค. - 24 ส.ค. |
12/13 ส.ค. |
22:30 น. |
70 (4-5 น.) |
- |
นายพราน |
2 ต.ค. - 7 พ.ย. |
21/22 ต.ค. |
22:30 น. |
20 (4-5 น.) |
แสงจันทร์รบกวนก่อนตี 4 |
สิงโต |
6-30 พ.ย. |
17/18 พ.ย. |
00:30 น. |
15 (5-6 น.) |
แสงจันทร์รบกวนก่อนตี 2 |
คนคู่ |
4-17 ธ.ค. |
14/15 ธ.ค. |
20:00 น. |
75 (0-2 น.) |
แสงจันทร์รบกวนก่อนเที่ยงคืน |
หมายเหตุ
-
คอลัมน์
"คืนที่มีมากที่สุด"
เครื่องหมายทับ
(/)
ใช้คั่นคืนวันแรกกับเช้ามืดของอีกวันหนึ่ง
เช่น
3/4
หมายถึงคืนวันที่
3
ถึงเช้ามืดวันที่
4
-
จุดกระจายของฝนดาวตกควอดแดรนต์อยู่ทางทิศเหนือของกลุ่มดาวคนเลี้ยงสัตว์
(ค่อนไปทางกลุ่มดาวมังกร)
-
ข้อมูลฝนดาวตกโดยทั่วไปบอกอัตราตกสูงสุดที่จุดจอมฟ้า
(Zenithal
Hourly
Rate
:
ZHR)
ซึ่งหมายถึงอัตราตกเมื่อจุดกระจายอยู่ที่จุดเหนือศีรษะ
และท้องฟ้ามืดจนเห็นดาวจางที่สุดด้วยโชติมาตร
6.5
ในการสังเกตการณ์จริง
มุมเงยของจุดกระจายและอัตราตกสูงสุดที่จุดจอมฟ้ามีการเปลี่ยนแปลงตามเวลา
ตัวเลขอัตราตกสูงสุดในตารางนี้ได้คำนวณสำหรับประเทศไทยโดยเฉพาะ
โดยคำนึงถึงมุมเงยของจุดกระจายและผลจากแสงจันทร์รบกวนซึ่งทำให้ท้องฟ้าไม่มืดสนิท
ในวงเล็บคือชั่วโมงที่คาดว่าตกสูงสุด
หรือช่วงเวลาที่มีโอกาสเห็นดาวตกจำนวนมากที่สุดหากไม่มีเมฆบัง
-
นอกจากเมฆ
มลพิษทางแสงเป็นอุปสรรคสำคัญในการเห็นดาวตก
การสังเกตดาวตกในเมืองใหญ่จะมีจำนวนดาวตกลดลงจากตัวเลขในตารางนี้หลายเท่า
-
การคาดหมายอัตราตกของฝนดาวตกอาศัยข้อมูลตัวเลขจากปรากฏการณ์ในอดีต
ควรใช้เป็นแนวทางคร่าว
ๆ
เท่านั้น
เพราะมีโอกาสคลาดเคลื่อนได้
- ใช้ข้อมูลฝนดาวตกจาก International Meteor Organization (IMO) และ Meteor Shower Flux Estimator โดย Peter Jenniskens