โพสโดย
เกียร์
natkamon779@gmail.com
|
อันดับที่ 10 ปลาปักเป้า (Puffer)
ปลาปักเป้า (Puffer, Sunfish, Triggerfish, Filefish) มีอยู่หลายชนิด หลายวงศ์ หลายสกุล อาศัยอยู่ทั้งในทะเล น้ำกร่อย และน้ำจืด โดยมากมีลำตัวกลม ครีบและหางเล็ก จึงว่ายน้ำได้เชื่องช้าดูน่ารัก หัวโต ฟันแหลมคมใช้สำหรับขบกัดสัตว์น้ำมีเปลือกต่าง ๆ เป็นอาหาร คนที่ลงเล่นน้ำจึงมักถูกกัดทำร้ายเป็นแผลบ่อย ๆ เมื่อตกใจหรือข่มขู่สามารถสูดน้ำหรือลมเข้าช่องท้องให้ตัวพองออกได้หลายลูกโป่ง ในบางชนิดมีหนามด้วย แต่การที่ปลาพองตัวออกเช่นนี้ จะมีผลกระทบต่ออวัยวะภายใน ในบางครั้ง เช่น ปลาตกใจอาจไปกระทบกับถุงลมซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญที่ใช้ในการทรงตัวเมื่ออยู่ใต้น้ำ ให้แตกได้ ปลาปักเป้าที่เป็นเช่นนี้จะไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติ แต่จะลอยตัวอยู่บนผิวน้ำไปอย่างนั้น จนกระทั่งตาย เนื่องจากไม่สามารถป้องกันตัวหรือหากินได้อีก!
อันดับที่ 9 ปลาสิงโตปีก (Red Lionfish)
ปลาสิงโตปีก (Red lionfish , Pterois volitans) แพร่ระบาดแทบทุกแนวปะการัง โดยสามารถพบได้ในที่ ๆ มีความลึกได้ถึง 600-800 ฟุต แต่โดยเฉลี่ยจะพบชุกชุมที่ความลึกไม่เกิน 200-400 ฟุต เป็นต้นเหตุทำให้ปลาขนาดเล็กซึ่งเป็นปลาพื้นถิ่นหลายชนิดหายไป เนื่องจากเป็นปลาที่กินอาหารได้จุมาก และแพร่
ขยายพันธุ์ได้รวดเร็ว แม่ปลาหนึ่งตัวสามารถผลิตไข่ได้ถึงปีละ 2 ล้านฟอง และมีความสามารถสูงในการสืบพันธุ์ทุก ๆ 3-4 วัน ครั้งละนับแสนฟอง ขนาดโตเต็มที่สามารถยาวได้ถึง 47 เซนติเมตร ในขณะที่ยังเป็นปลาวัยอ่อนจะมีความยาวสั้นกว่า 1 นิ้ว มีอายุขัยเฉลี่ยประมาณ 10 ปี สิ่งที่อันตรายของปลาชนิดนี้คือ ครีบหลังมีก้านครีบแข็งทั้งหมด 13 ก้าน ซึ่งแต่ละก้านสามารถเคลื่อนไหวเป็นอิสระ โดยมีครีบเป็นตัวยึดติดไว้ ในก้านครีบหลังมีบางก้านซึ่งมีเข็มพิษและภายในบรรจุถุงพิษ รวมถึงครีบอื่น ๆ เช่น ครีบก้น, ครีบอก ด้วย หากถูกแทงจะได้รับความเจ็บปวดมาก เมื่อแทงเข้าไปในเนื้อเยื่อของผู้ที่โดนแทงจะก่อให้เกิดความปวดแสบปวดร้อน เพราะมีผลต่อระบบกล้ามเนื้อ ก่อให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น เป็นอัมพาต หรืออัมพาตชั่วคราว รวมถึงเป็นแผลพุพอง
อันดับที่ 8 ปลาแคนดิรู (Candiru)
ปลาแคนดิรู (Candiru) ผืนน้ำของอเมซอนมีสัตว์กินเลือดที่น่ากลัวมากจนเหมือนกับออกมาจาก
ภาพยนต์สยองขวัญของฮอลลีวู้ด ไม่ต้องนึกถึงจระเข้ ปลาไหลไฟฟ้าหรือปลาปิรันย่า สิ่งที่เลวร้ายที่สุดในน้ำของอเมริกาใต้ตัวยาวไม่ถึง 1 นิ้ว เป็นปลาที่มักจะหาเหยื่อด้วยการตามรอยสารประกอบไนโตรเจนที่ออกมาจากเหงือกของปลาที่ตัวใหญ่กว่า จากนั้นมันก็รอโอกาสไปอยู่ข้างเส้นเลือดใต้เปลือกที่ปิดเหงือกนั่นเอง ปลาแคนดิรูใช้หนามแหลมที่หัวขูดไปตามเหงือกของเหยื่อจนกระทั่งเลือดไหล มันใช้เวลาไม่กี่นาทีดูดเลือดจนอิ่มจนท้องป่องจากนั้นก็ออกมาจมลงไปใต้อม่น้ำเพื่อย่อยอาหาร และสิ่งที่ทำให้ปลาผีดูดเลือดนี้ดูน่ากลัวนั้นเพราะของเสียที่ขับออกมาทางเหงือกปลานั้นคล้ายกับสารที่พบในปัสสาวะคน สิ่งนี้อาจทำให้ปลาแคนดิรูสับสนจนเกิดความผิดพลาดได้ ปลาชนิดนี้เคยถูกผ่าออกมาจากท่อปัสสาวะของคน ต้องใช้วิธีการแพทย์ที่ซับซ้อนเอาปลาที่อยู่ในท่อปัสสาวะนั้นออกมา แต่ปลาแคนดิรูไม่ใช่สัตว์ชนิดเดียวที่ชอบอาบเลือด ชาวอียิปต์โบราณมีความเชื่อว่าเลือดนำแก่นของชีวิตไปทั่วร่าง ดังนั้นการอาบเลือดจึงน่าจะเป็นวิธีในอุดมคติ นักรบชาวโรมันเห็นว่าเลือดคือสุดยอดเครื่องดื่มให้พลังงาน
อันดับที่ 7 ปลาฉลามขาว (Great White Shark)
ปลาฉลามขาว (Great white shark) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง มีขนาดตัวที่ค่อนข้างใหญ่ พบได้ตามเขตชายฝั่งแถบทะเลใหญ่ มีความยาวประมาณ 6 เมตร น้ำหนักประมาณ 2250 กิโลกรัม ทำให้ (Dyer Island, South Africa) ที่แอฟริกาใต้ ทั้งยังสามารพบได้ในเขตร้อนแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
ปลาฉลามขาวเป็นปลานักล่าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ฉลามขาวอาศัยอยู่ตามแถบทะเลชายฝั่งเกือบทั่วทุกมุมโลก ที่มีอุณหภูมิระหว่าง 12C - 24C แต่จะอาศัยอยู่หนาแน่นบริเวณอ่าวประเทศออสเตรเลีย ทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกา แคลิฟอเนีย และตอนกลางของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แต่ที่หนึ่งที่หนาแน่นที่สุดอยู่ที่ ไดร์เออร์ ไอร์แลนด์
ปลาฉลามขาว เป็นสัตว์กินเนื้อ เหยื่อที่มันเลือกจะล่ามีปลา (รวมทั้งปลากระเบนและฉลามที่ตัวเล็กกว่า) ปลาโลมา แมวน้ำ สิงโตทะเล เต่าทะเล และเต่าตะหนุ ทั้งยังมีชื่อในเรื่องกินไม่เลือก แม้กระทั่งของที่กินไม่ได้ ปลาฉลามขาวที่ยาวประมาณ 3.4 เมตร จะเลือกเหยื่อที่เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่มีคุณค่าทางอาหารสูงกว่า และยังมีสัมผัสพิเศษในการหาตำแหน่งเหยื่อจากระยะไกล และใช้สัมผัสในด้านการดมกลิ่น และการฟังเพื่อยืนยันตำแหน่งอีกที ในระยะประชิดฉลามจะใช้สายตาเป็นหลัก ปลาฉลามขาว มีชื่อเสียงในเรื่องเป็นนักล่าที่โหดร้าย เป็นเครื่องจักรสังหาร และมีเทคนิคในการซุ่มโจมตี โดยจู่โจมเหยื่อจากด้านล่าง
อันดับที่ 6 ปลาไหลมอเรย์ (Moray eel, Moray)
ปลาไหลมอเรย์ (Moray eel, Moray) เป็นปลาที่กินเนื้อเป็นอาหาร ออกหากินในเวลากลางคืน โดยการล่าเหยื่อด้วยการใช้ประสาทสัมผัสทางกลิ่น ที่เป็นแท่งเล็ก ๆ ยื่นอยู่ตรงปลายปาก 2 แท่ง คล้ายจมูก ซึ่งอวัยวะส่วนนี้มีความไวต่อกลิ่นมาก โดยเฉพาะกลิ่นคาวแบบต่าง ๆ เช่น กลิ่นเลือดหรือกลิ่นของสัตว์ที่
บาดเจ็บมีบาดแผล อาหารได้แก่ ปลาทั่วไป รวมถึงสัตว์ที่มีกระดองแข็งเช่น กุ้ง, กั้ง, ปู และหมึก
โดยปกติแล้วปลาไหลมอเรย์จะอาศัยอยู่ตามโพรงหินหรือซอกปะการังในแนวปะการัง โดยยื่นแต่เฉพาะส่วนหัวโผล่ออกมาราว 1/4 ของความยาวลำตัว พร้อมกับอ้าปากส่ายหัว เพื่อป้องกันถิ่นที่อยู่อาศัยและหาเหยื่อ ที่จะออกมาว่ายน้ำนั้นจะเป็นช่วงเวลากลางคืนที่หาอาหาร ปลาไหลมอเรย์มีกรามที่แข็งแรงและฟันที่แหลมคม แม้จะมีหน้าตาน่ากลัว แต่ไม่ใช่เป็นปลาที่ดุร้าย กลับกันกลับเป็นปลาที่รักสงบ แต่จะจู่โจมใส่ผู้ที่บุกรุก โดยหลายครั้งที่นักประดาน้ำไปเผลอรบกวนโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็อาจถูกกัดเป็นแผลเหวอะหวะถึงขั้นนิ้วขาดได้ เพราะฟันที่แหลมคมและการกัดที่ไม่ปล่อย และอีกช่วงที่ปลาไหลมอเรย์จะดุร้าย คือ ในฤดูผสมพันธุ์
อันดับที่ 5 ปลาไทเกอร์โกไลแอต (Tigerfish)
ปลาไทเกอร์โกไลแอต (Goliath tigerfish, Giant tigerfish) รูปร่างเหมือนปลาในสกุล Hydrocynus แต่มีความแตกต่างคือ ปลาในวัยอ่อนจะไม่มีลายใด ๆ บนลำตัวทั้งสิ้น ลำตัวแลดูแบนข้างมาก ปลายหางขนาดเมื่อโตเต็มที่ยาวได้ถึง 6 ฟุต และมีน้ำหนักกว่า 100 ปอนด์ จัดเป็นปลาแอฟริกันไทเกอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และเป็นปลาประเภทคาราซินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ล่างสีแดงจัด ครีบหางและครีบอื่น ๆ มีขนาดใหญ่ แฉกครีบของครีบหางมีความกว้างกว่าชนิดอื่น ในปากมีฟันแหลมคมขนาดใหญ่เรียงอยู่ทั้งหมด 36 ซี่ เท่ากับปลาฉลามขาว ขากรรไกรใหญ่และยื่นยาว
แหล่งที่อยู่กระจายพันธุ์ในกระแสน้ำเชี่ยวของลุ่มแม่น้ำคองโก ในตอนกลางของทวีปแอฟริกา และแม่น้ำลูลาบา, ทะเลสาบอูเพ็มบา และทะเลสาบแทนกันยีกา ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง แต่เมื่อล่าเหยื่อจะออกล่าเพียงลำพัง โดยมักจะจู่โจมเหยื่อที่มีแสงสะท้อนระยิบระยับหรือมีเสียงหรือมีแรงกระเพื่อมของน้ำ โดยปลาแอฟริกันไทเกอร์ชนิดนี้เคยมีรายงานว่าทำร้ายมนุษย์จนถึงแก่ความตายมาแล้วด้วย
อันดับที่ 4 ปลาปิรันยา (Piranha)
ปลาปิรันยา (Piranha) กินเนื้อเป็นอาหาร มักอยู่รวมกันเป็นฝูงขนาดใหญ่ พบในแม่น้ำอเมซอน และแม่น้ำหลายสายในทวีปอเมริกาใต้ มีฟันที่แหลมคมรูปสามเหลี่ยมขนาดใหญ่ มีส่วนหัวขนาดใหญ่ มีกล้าม
เนื้อบริเวณกระพุ้งแก้มแข็งแรง ใช้สำหรับกัดกินเนื้อของสัตว์ที่ตกลงไปอยู่ใกล้ที่อยู่เป็นอาหาร โดยเฉพาะสัตว์ที่ตื่นตระหนกตกใจ หรืออยู่ในภาวะอ่อนแอบาดเจ็บ เสียงตูมตามของน้ำที่กระเพื่อม จะดึงดูดปลาปิรันยาเข้ามาอย่างว่องไว ซึ่งปลาปิรันยาจะใช้ฟันที่แหลมคมกัดกินเนื้อของสัตว์ใหญ่จนทะลุไปถึงกระดูกสันหลังได้เพียงไม่กี่นาที ความดุร้ายของปลาปิรันยาแตกต่างกันออกไปตามแต่ชนิด แต่เชื่อว่าปลาปิรันยาทุกชนิดสามารถตรวจจับกลิ่นเลือดในน้ำแม้เพียง 50 แกลลอน เหมือนกับปลาฉลาม
อันดับที่ 3 ปลาหิน (Stonefish)
ปลาหิน (Stonefish) เป็นปลาที่หากินอยู่ตามพื้นทะเล โดยกบดานอยู่กับพื้นนิ่ง ๆ เพื่อรอฮุบเหยื่อซึ่งเป็นอาหารไปทั้งคำ กระจายพันธุ์อยู่ทั่วไปในภาคพื้นอินโด-แปซิฟิก โดยอาจพบได้ในแหล่งน้ำกร่อย เช่น
ปากแม่น้ำ หรือตามชายหาดเมื่อน้ำลด มีลำตัวป้อมเกือบกลม หัวขนาดใหญ่ส่วนหัวมีหนามจำนวนมาก สีลำตัวคล้ำมีลายเลอะ ทำให้แลดูคล้ายก้อนหิน ลำตัวสากและมีหนามเล็ก ๆ หนังหนาและเป็นปุ่ม เกล็ดละเอียด บางชนิดไม่มีเกล็ด ครีบหลังยาว ครีบอกกว้าง มีก้านครีบแข็งขนาดใหญ่ที่ครีบหลัง ครีบอก และครีบท้อง ก้านครีบแข็งมีลักษณะเป็นหนาม ซึ่งก้านครีบนี้มีพิษร้ายแรงมาก โดยต่อมพิษของก้านครีบแข็งอยู่ใต้ชั้นผิวโดยอยู่รอบส่วนกลาง ส่วนปลายของก้านหนามหุ้มห่อด้วยเนื้อเยื่อ พิษจะถูกปล่อยออกเมื่อเยื่อหุ้มหนามฉีกขาด อันตรายเกิดจากการไปสัมผัสถูกก้านครีบแข็งบริเวณต่าง ๆ และหนามบริเวณหัว เนื่องจากปลาหินชอบอยู่นิ่ง ๆ ทำให้ดูคล้ายก้อนหิน อันเป็นที่มาของชื่อสามัญ หากไปสัมผัสหรือเหยียบได้ พิษมีความรุนแรงมากเมื่อถูกตำหรือบาดจะปวดและบวมทันที ความเจ็บปวดอาจอยู่นานหลายชั่วโมงหรือหลายวัน ในกรณีที่รับพิษจำนวนมากหรือแพ้ ผู้ได้รับพิษอาจมีอาการคอแห้ง ปวดเมื่อยตามข้อต่าง ๆ ซึม เพ้อ ไม่ได้สติ จนกระทั่งจนเสียชีวิตได้ในที่สุด โดยปลาหินถือว่าเป็นปลาจำพวกหนึ่งที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก
อันดับที่ 2 ปลากระเบนแมนตามหาสมุทร (Giant oceanic manta ray, Oceanic manta)
ปลากระเบนแมนตามหาสมุทร (Giant oceanic manta ray, Oceanic manta) จะงอยปากมีหงอนหนังขนาดใหญ่ ปากอยู่ทางด้านหน้าสุด ครีบอกโค้งเรียวแหลม ด้านหลังมีเกล็ดที่เป็นตุ่มสากละเอียด หางมี
ความสั้นไม่มีเงี่ยงแหลม ครีบหลังมีขนาดเล็ก ด้านหลังมีสีดำเข้ม ขณะที่บางตัวจะไม่เป็นสีดำทั้งหมด แต่จะมีระยะห่างระหว่างแถบด้านซ้ายและด้านขวา ส่วนใต้ท้องสีท้องมีแถบสีเข้มบริเวณครีบอก ท่อนหลังทั้งด้านซ้ายและขวายาวตั้งแต่ปลายครีบถึงกึ่งกลางลำตัว จะอยู่เป็นฝูงขนาดเล็กจนถึงใหญ่ ตั้งแต่ 100-600 ตัว ขณะว่ายน้ำกินแพลงก์ตอนอาจมีการว่ายตีลังกาหรือหงายท้องได้ มีพฤติกรรมในการว่ายน้ำตีโค้งกว่าปลากระเบนแมนตาแนวปะการัง (M. alfredi) ซึ่งเป็นปลากระเบนแมนตาอีกชนิดหนึ่ง และมักจะพบกลางน้ำหรือนอกแนวปะการังมากกว่าจะอยู่ในแนวปะการัง มีการเคลื่อนย้ายที่อยู่อาศัยไปตามฤดูกาล โดยอยู่เป็นฝูงขนาดเล็กไม่กี่ตัว ขนาดความกว้างที่พบมีตั้งแต่ 3-7 เมตร น้ำหนักประมาณ 2.4 ตัน และโดยเฉลี่ยเมื่อโตเต็มที่จะมีขนาดประมาณ 4 เมตร ซึ่งคิดโดยเฉลี่ยแล้วมีขนาดเล็กกว่าปลากระเบนแมนตาแนวปะการัง แต่ทั้ง 2 ชนิดนี้ก็สามารถพบได้ในทะเลเปิดและมหาสมุทรเขตร้อนและเขตอบอุ่นทั่วโลก
อันดับที่ 1 ปลาไหลไฟฟ้า (Electric Eel)
ปลาไหลไฟฟ้า (Electric Eel) มีรูปร่างเรียวยาวคล้ายปลาไหล ตามีขนาดเล็ก ลำตัวสีน้ำตาลเขียวเข้ม
ใต้ท้องสีเหลือง หัวมีขนาดใหญ่ ปากกว้าง ใต้ท้องมีครีบยาวตั้งแค่ส่วนอกไปจนถึงปลายหาง ชอบอยู่ตามบึงน้ำตื้น ๆ หมกโคลนเลน หรือซ่อนตามวัชพืชในน้ำ ชอบน้ำนิ่งและเก่า ค่า pH สูง มีขนาดโตเต็มที่เกือบ 2 เมตร ที่ใหญ่ที่สุดพบถึง 2.5 เมตร น้ำหนักมากกว่า 44 ปอนด์ และยังสามารถปล่อยไฟฟ้าได้สูงถึง 600 โวลต์ หรืออาจมากกว่านั้น ในปลาที่โตเต็มที่ ซึ่งเท่ากับสามารถให้ไฟฟ้าในปริมาณที่พอใช้ในบ้านหลังเล็ก ๆ หลังหนึ่ง และไม่เกิน 100 โวลต์ในปลาที่ยังเล็กอยู่ โดยกล้ามเนื้อที่อยู่บริเวณลำตัวไปจนถึงปลายหางมีเซลล์พิเศษที่สร้างประจุไฟฟ้าได้ นับเป็นสัตว์ที่สามารถปล่อยกระแสไฟฟ้าได้สูงที่สุดในโลก |