โพสโดย
QWERTY
greenwarled.slaz@gmail.com
|
ชีวิตคือ ส่วนประกอบเป็นรูปวัตถุที่อาศัยปัจจัยดำรงอยู่คืออาหารหยาบ และมีการสืบต่อเผ่าพันธ์ (ทั้งพืชและสัตว์) เป็นชีวิตฝ่ายรูป
ชีวิตคือ นามที่อาศัยปัจจัยดำรงอยู่คืออาหารละเอียด และมีการสืบต่อหล่อเลี้ยงรักษาตนเป็นอุปาทาน(มีในสัตว์ไม่มีในพืช)
ชีวิตมนุษย์ ประกอบด้วยรูปและนามที่ประชุมกันเข้า เรียกว่าขันธ์๕ ที่อาศัยช่องทางอายตนะที่มีอยู่พร้อมในรูปกาย ได้แก่ ตา หู จมูก
ลิ้น กาย เรียกว่ารูปขันธ์ มีการสัมผัสรู้ในช่องทางดังกล่าวเรียกว่า วิญญาณขันธ์ รู้สึกได้ถึงการกระทบสัมผัสนั้นเรียกว่า
เวทนาขันธ์ มีการจดจำบันทึกลักษณะอาการ อารมณ์ ที่มากระทบสัมผัสนั้นเรียกว่า สัญญาขันธ์ และนำส่วนที่ว่ามานั้น
มาคิดนึกผสมผสานปรุงแต่งกันเข้าเป็นสิ่งต่างๆอีกทีเรียกว่า สังขารขันธ์
การเกิดขึ้นของอุปาทาน เป็นการดำรงชีวิตไว้เกินความเป็นจริงอย่างไร?
เมื่อรับรู้ได้ถึงเวทนา คือ ความเจ็บปวดทางกาย หรือการจะถูกทำร้ายให้รูปกายหมดสภาพ และชีวิตฝ่ายนามก็จะหมดลง
เช่นกัน สังขารขันธ์จึงปรุงแต่งให้เป็นอุปาทานยึดว่ามีเราเกิดขึ้น เพื่อที่จะนำสัญญาที่เป็นเหตุต่างๆที่จะนำมาซึ่งเวทนานั้นๆ
มาสู่กาย ในทางตรงข้ามถ้าอะไรมากระทบสัมผัสแล้วทำให้กายสบาย ก็จดจำเป็นสัญญาไว้เช่นกัน สังขารขันธ์จึงปรุงแต่ง
ให้เป็นความทุกข์ความสุขทางใจเกิดขึ้น ตามที่ได้กระทบสัมผัสสิ่งนั้นๆ จึงเกิดเวทนาทางใจ ซึ่งเกิดมาจากการปรุงแต่งของ
สังขารขันธ์ จึงมีความอยาก เป็นกิเลส ตัณหา แล้วแสวงหา ได้ก็สุข ไม่ได้ก็ทุกข์
การพัฒนาชีวิต?
เวทนาที่เกิดขึ้นกับกายเป็นไปตามหลักความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ แต่เวทนาที่เกิดทางใจ เป็นสิ่งที่ใจไปยึดว่าสิ่งนั้น สิ่งนี้จะทำ
ให้เกิดสุข เกิดทุกข์ ซ้อนขึ้นมา เพราะติดข้องกับอารมณ์ที่ได้รับคือความพอใจ ไม่พอใจ อันเป็นเหตุเกินไปจากการมีชีวิตรอด
แบบธรรมดา เป็นความต้องการอยู่ของชีวิตฝ่ายนามที่ปรุงแต่งขึ้นมาว่ามีตัวตนของตนอยู่(อุปาทาน) จึงเป็นที่มาของสุข และทุกข์
ที่สร้างขึ้นมาเอง
การพ้นไปจากทุกข์?
การมีปัญญารู้แจ้งในทุกข์ คือสังขารที่ปรุงแต่ง ต้องเห็นสภาวะความเป็นจริง |