ถาม-ตอบ (Q&A)
ประโยชน์ของการลงทุน
โพสโดย
เจมส์
thianchai@gmail.com
ประโยชน์ของการลงทุน
  • เพิ่มโอกาส และทางเลือกในการลงทุน นอกเหนือจากการฝากเงิน การเล่นหุ้นเอง การซื้อพันธบัตรหรือหุ้นกู้
  • กระจายความเสี่ยงของการลงทุนไปในหลักทรัพย์หลายประเภทด้วยเงินลงทุนจำนวนไม่มาก เช่น สามารถเป็นเจ้าของหุ้นมากกว่า 10 ตัว (ที่กองทุนถือครองอยู่) ด้วยเงินเพียง 2,000 บาท
  • สามารถเป็นเจ้าของหลักทรัพย์หลากหลายประเภทได้โดยไม่ต้องติดต่อหลายหน่วยงาน
  • เพิ่มอำนาจต่อรองของเงินลงทุน กองทุนรวมนับเป็นนักลงทุนประเภทสถาบัน ที่มีเงินลงทุนก้อนใหญ่ 
    ทำให้มีอำนาจต่อรองทั้งในเรื่องอัตราดอกเบี้ยและราคาตราสารได้มากกว่านักลงทุนรายย่อย
  • บริหารเงินลงทุนโดยผู้จัดการกองทุนมืออาชีพ
  • มีสภาพคล่องสูง เนื่องจากกองทุนส่วนใหญ่สามารถทำรายการซื้อขายหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการ 
    และสามารถทำรายการได้ทั่วประเทศ
  • มีกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนหลากหลายประเภท ให้เลือก ทำให้สามารถกระจายเงินลงทุนได้อย่างหลากหลาย ตามลักษณะการยอมรับความเสี่ยงของแต่ละบุคคล (mix and match) เช่น ผู้ลงทุนอาจลงทุนในกองทุนบัวแก้ว 20% กองทุนบีเฟล็กซ์ 60% กองทุนบีแอ็คทีฟ 20%
  • ประหยัดเวลาในการติดตามข้อมูลในตลาดและภาวะเศรษฐกิจ
  • ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยกำไรจากการลงทุนไม่ต้องนำไปคำนวณภาษี นอกจากนี้เงินที่ลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) สามารถนำไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้เมื่อมีผู้ถือหน่วยปฏิบัติตามเงื่อนไขการลงทุน
  • สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. เป็นผู้กำกับดูแลการจัดการและบริหารกองทุน

 เชื่อหรือไม่... คำตอบของคนส่วนใหญ่เกือบร้อยทั้งร้อย จะนึกถึงภาพคนที่มี “รายได้สูงๆ” “มีทรัพย์สินเงินทอง
   มากมาย” หรือ “คนที่ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย” เป็นลำดับต้นๆ เพราะรายได้และทรัพย์สินเป็นเหมือนสิ่งที่แสดงฐานะ
   ทางสังคม สื่อให้เห็นถึงความมั่งคั่งร่ำรวยของบุคคล

            จึงไม่ใช่เรื่องแปลก... ที่ทุกวันนี้ เราเห็นผู้คนวิ่งวุ่นอยู่กับการทำงานอย่างหนัก เพื่อหาเงินมาจับจ่ายใช้สอยซื้อข้าวของ
   เครื่องใช้ต่างๆ ไว้สร้างความสุขความสะดวกสบายให้ตนเอง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร หากคนๆ นั้นรู้จักกินอยู่อย่างพอดี
   ไม่พยายามก่อหนี้ และมีเงินเก็บออมพอประมาณ แต่สำหรับคนที่ชอบกินอยู่เกินฐานะ ใช้จ่ายมากกว่าที่หาได้ ดิ้นรนกู้หนี้ยืมสิน
   ผ่อนทุกอย่างในชีวิตเท่าที่จะผ่อนได้ คนเหล่านี้แม้จะมีเฟอร์นิเจอร์รอบกาย แต่หนี้ก็รอบตัว อย่างนี้เราถือว่ายังไม่มั่งคั่ง 
   เพราะยังดิ้นรนผ่อนเดือนชนเดือนอยู่


         “ความมั่งคั่ง” คือ เงินที่เหลืออยู่ หลังจากที่นำทรัพย์สินทั้งหมดของคุณ ลบด้วยหนี้สินทั้งหมดของคุณ 
สรุปง่ายๆ เป็นสมการได้ดังนี้

                   
        ยิ่งคุณมีทรัพย์สินสุทธิมากเท่าใด ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะนำเงินไปต่อยอดสร้างความมั่งคั่งได้มากขึ้นเท่านั้น

         หลายคนมักจะถามเชิงบ่นว่า “เมื่อไหร่จะรวย” หรือไม่ก็ “เมื่อไหร่จะมั่งคั่ง” เอาเป็นว่า... ก่อนจะมั่งคั่ง 
เราต้องอยู่รอดให้ได้ก่อน ดูง่ายๆ จาก “อัตราส่วนความอยู่รอด”


         ถ้าอัตราส่วนนี้ต่ำกว่า 1 แสดงว่าเราไม่สามารถอยู่รอดได้ เพราะมีรายได้น้อยกว่ารายจ่าย แต่ถ้าอัตราส่วนนี้มากกว่า 1
แสดงว่าเราสามารถดำรงชีวิตให้อยู่รอดได้

         หากอยู่รอดได้แล้ว วิธีที่จะทำให้รู้ว่าคุณมั่งคั่งและมีอิสรภาพทางการเงินแล้วหรือยัง ดูได้จาก...

         ถ้าคุณมีอัตราส่วนความมั่งคั่งมากกว่า 1 ก็พอจะบอกเป็นนัยๆ ได้ว่าแม้คุณจะไม่ทำงาน คุณก็ยังมีรายได้ 
้จากทรัพย์สินมากพอที่จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายได้โดยไม่เดือดร้อน แบบนี้แหละ... ที่เรียกว่า “อิสรภาพทางการเงิน” 
ที่ทุกคนใฝ่ฝันหา

         โดย “อิสรภาพทางการเงิน” คือ การมีหลักประกันทางการเงินที่มั่นคงเพียงพอที่จะใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบาย
ตามสมควรแก่อัตภาพ โดยไม่ต้องพึ่งพาใครมากจนเกินไป และไม่ต้องหวาดผวากับเรื่องเงินๆ ทองๆ ว่าจะมีไม่พอกับ
การจับจ่ายใช้สอยเพื่อดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพ

         แต่อย่าลืมว่า... แม้คุณจะหาเงินได้มากแค่ไหน หากใช้หมด ก็หมดทางมั่งคั่ง ดังนั้น นอกจากการทำงานหาเงิน
แล้ว คุณยังต้องให้ความสำคัญกับการวางแผนชีวิตและแผนการเงินในทุกๆ ด้านด้วย ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมค่าใช้จ่าย 
การบริหารหนี้สิน การออมเงินเพื่อเป้าหมายในอนาคต รวมถึงการทำประกันเพื่อคุ้มครองความเสี่ยง การใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างคุ้มค่า และการลงทุนเพื่อต่อยอดเงินออมให้งอกเงยขึ้น 
ซึ่งเส้นทางที่จะนำพาคุณไปสู่ความมั่งคั่งอย่างที่ฝันไว้ประกอบไปด้วย


โพสโดย : เจมส์
IP : 202.29.178.82
โพสเมื่อวันที่ : 22 พ.ย. 2560,13:33 น.
แสดงความเห็น
ความคิดเห็น :
ชื่อ :
อีเมล :
เบอร์โทร :
กรอกรหัส :