ภาวะโรคอ้วน (obesity) และโรคมะเร็ง (cancer)
1. ภาวะโรคอ้วน (obesity) คือะไร?
คนที่มีภาวะอ้วน คือผู้ที่มีไขมันที่ไม่ดีต่อสุขภาพในอัตราส่วนที่สูงในร่างกาย วิธีการวัดภาวะโรคอ้วนโดยมากจะคำนวณจากน้ำหนักและส่วนสูง ที่เรียกว่า "ดัชนีมวลกาย
หรือ body mass index (BMI)"
ค่า BMI คืออัตราส่วนระหว่าง
นอกจากนี้ค่า BMI ยังแสดงถึงภาวะอ้วนหรือภาวะน้ำหนักเกินได้แม่ยำกว่าการประเมินจากน้ำหนักอย่างเดียว แนวทางการประเมินค่า BMI ในผู้ที่มีอายุมากกว่า
หรือเท่ากับ 20 ปี มีดังนี้
<18.5 | ผอม (underweight) | |
18.5-24.9 | สมส่วน (healthy) | |
25-29.9 | น้ำหนักเกิน (overweight) | |
>30 | ภาวะอ้วน (obese) |
แผนภูมิแสดงการวัดค่า BMI จากน้ำหนักและส่วนสูงในผู้ที่อายุมากกว่าหรือเท่ากับ 20 ปี
![]() |
เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่รูปร่างสมส่วนแล้ว ผู้ที่น้ำหนักเกินหรือภาวะอ้วนมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่าง ๆ มากขึ้น ได้แก่ โรคเบาหวาน, โรคความดันโลหิตสูง,
โรคหัวใจหลอดเหลือด, โรคหลอดเลือดสมอง และโรคมะเร็ง นอกจากนี้ยังทำให้อายุขัยสั้นลงด้วย
2. น้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนพบบ่อยเพียงใด?
ผลจากการสำรวจในปี 1999-2000 ของสถาบัน National Health Examination Survey (NHANES) พบว่าประมาณ 64% ของประชากรวัยผู้ใหญ่ในสหรัฐ
อเมริกาที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วนเพิ่มขึ้นประมาณ 8% เมื่อเปรียบเทียบกับการสำรวจก่อนหน้านี้ของ NHANES III ในปี 1988-1994
เกือบ 1 ใน 3 ของประชากรวัยผู้ใหญ่ที่จัดอยู่ในกลุ่มอ้วน มีจำนวนเพิ่มขึ้นประมาณ 7.6% จากในปี 1994 และจากข้อมูลพบว่า 30% ในประชากรที่อายุมากกว่าหนือเท่ากับ
20 ปี (ประมาณ 59 ล้านคน) มีค่าดัชนีมวลกายมากกว่าหรือเท่ากับ 30 (เปรียบเทียบกับปี 1994 มีประชากรเพียง 23% ที่อยู่ในภาวะดังกล่าว)
นอกจากนี้ในเด็กพบว่าภาวะน้ำหนักเกินมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ในปี 1999-2000 พบว่าประมาณ 15% ในเด็กอายุ 6-19 ปี (ประมาณ 9 ล้านคน) อยู่ในภาวะน้ำหนักเกิน
ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าเมื่อเทียบกับปี 1980 สำหรับในประเทศไทยยังไม่มีข้อมูล
3. สาเหตุของโรคอ้วนคืออะไร?
ผู้เชี่ยวชาญได้สรุปสาเหตุหลักของโรคอ้วนไว้ว่า เกิดจากวิถีชีวิตแบบนั่ง ๆ นอน ๆ และการบริโภคอาหารที่มีพลังงานสูง (high-calorie food) มากเกินไป
- วิถีชีวิตแบบนั่ง ๆ นอน ๆ (sedentary lifestyle): จากงานวิจัยพบว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างสูงระหว่างการขาดการออกกำลังกาย (physical activity) และโรคอ้วน
- อาหาร (died): การบริโภคอาหารที่ให้พลังงานสูงหรือมีไขมันเป็นส่วนประกอบ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคอ้วน
4. ในทางวิทยาศาสตร์ โรคอ้วนกับโรคมะเร็งสัมพันธ์กันอย่างไร?
ในปี 2001 ผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นว่าโรคมะเร็งลำไส้, เต้านม (ในวัยหมดประจำเดือน), เยื่อบุโพรงมดลูก (endometrium), ไต และหลอดอาหาร มีความสัมพันธ์กับ
โรคอ้วน นอกจากนี้ในบางการศึกษารายงานว่าโรคอ้วนสัมพันธ์กับโรคมะเร็งถุงน้ำดี, ตับอ่อน และรังไข่ด้วย
โรคอ้วนและการขาดการออกกำลังกาย: ประมาณ 25-30% เป็นสาเหตุหลักที่สำคัญของโรคมะเร็งลำไส้, เต้านม (วัยหมดประจำเดือน), เยื่อบุโพรงมดลูก (endometrium),
ไตและหลอดอาหาร
การป้องกันน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นสามารถลดปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็งได้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าควรจะปรับพฤติกรรมการบริโภคและการออกกำลังกายตั้งแต่แรก
เพื่อป้องกันภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน ส่วนผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วนอยู่ก่อน ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นอีก และควรจะลดน้ำหนักโดยการบริโภคอาหารพลังงานต่ำ
และออกกำลังกายร่วมด้วย การลดน้ำหนักเพียง 5-10% จากน้ำหนักเดิมจะทำให้สุขภาพดีขึ้นได้
5. ผู้ที่น้ำหนักเกินหรืออ้วน เป็นโรคมะเร็งมีจำนวนเท่าไร และมีการเสียชีวิตเท่าไร?
ในปี 2002 ประเทศสหรัฐอเมริกามีผู้ป่วยโรคมะเร็งประมาณ 41,000 คน ที่เกิดจากโรคอ้วน (ประมาณ 3.2% ในผู้ป่วยมะเร็งทั้งหมด สัมพันธ์กับโรคอ้วน)
มีรายงานในประเทศสหรัฐอเมริกาว่า 14% ของผู้ป่วยชายที่เสียชีวิตจากโรคมะเร็ง และ 20% ของผู้ป่วยหญิงที่เสียชีวิตจากโรคมะเร็ง เกิดจากภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน
สำหรับในประเทศไทยยังไม่มีข้อมูล
6. โรคอ้วนทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมหรือไม่?
ผลของโรคอ้วนต่อโรคมะเร็งเต้านม ขึ้นกับภาวะหมดประจำเดือนของผู้หญิง วัยก่อนหมดประจำเดือน ผู้หญิงอ้วนมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมน้อยกว่าผู้หญิงที่
น้ำหนักปกติ แต่สำหรับวัยหมดประจำเดือน ผู้หญิงอ้วนมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 1.5 เท่าของหญิงที่น้ำหนักปกติ
ผู้หญิงอ้วนมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเต้านมในวัยหมดประจำเดือนมากกว่าผู้หญิงที่มีน้ำหนักปกติ นักวิทยาศาสตร์คาดว่าจะมีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งเต้านม
ในประเทศสหรัฐอเมริกา (ในกลุ่มอายุมากกว่า 50 ปี) มีประมาณ 11,000-18,000 คนต่อปี ถ้าไม่ควบคุมค่าดัชนีมวลกายให้ต่ำกว่า 25
โรคอ้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมเฉพาะกลุ่มผู้หญิงวัยหลังหมดประจำเดือนที่ไม่ใช่ยาฮอร์โมนเสริม ส่วนในกลุ่มที่ใช้ยาฮอร์โมนพบว่าอัตราการเกิดโรคไม่
ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญระหว่างผู้หญิงอ้วนและน้ำหนักปกติ
สาเหตุของการเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็งเต้านมและการเสียชีวิต เชื่อว่าเกิดจากการเพิ่มขึ้นของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในผู้หญิงอ้วนก่อนวัยหมดประจำเดือน รังไข่
ทำหน้าที่หลักในการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจน และมีส่วนหนึ่งที่ผลิตจากเนื้อเยื่อไขมัน (fat tissue) เมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนรังไข่จะหยุดสร้างฮอร์โมน ส่วนเนื้อเยื่อไขมัน
ทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนแทน ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในวัยหลังหมดประจำเดือนเพิ่มสูงขึ้นประมาณ 50-100% ในผู้หญิงอ้วนเทียบกับผู้หญิงผอม ดังนั้นเนื้อเยื่อที่
ตอบสนองกับฮอร์โมนเอสโตรเจนจะถูกกระตุ้นมากในผู้ป่วยอ้วน ซึ่งทำให้มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของก้อนเต้านมที่ตอบสนองดีกับฮอร์โมนเอสโตรเจน (estrogen-
responsive breast tumor)
ปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้อัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านมเพิ่มสูงขึ้นในผู้หญิงอ้วนคือ การตรวจพบมะเร็งเต้านมในระยะหลัง (Later stage) มากกว่าคนน้ำหนักปกติ
เนื่องจากการตรวจก้อนที่เต้านมทำได้ยากกว่า
การศึกษาเกี่ยวกับโรคอ้วนและมะเร็งเต้านมในสหรัฐอเมริกายังมีอยู่จำกัด มีบางรายงานที่ศึกษาในผู้หญิง Africanc American (ซึ่งมีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับ
ประชากรทั้งหมด) พบว่าหญิงชาว African American ที่มีดัชนีมวลกายสูงส่วนใหญ่เป็นมะเร็งนมแบบ advanced stage ตั้งแต่วินิจฉัยครั้งแรก
การกระจายของไขมันในร่างกายมีผลกระทบต่อความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งเต้านมเช่นกัน ผู้ที่มีไขมันสะสมที่หน้าท้องมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งเต้านมสูงกว่าผู้ที่ไขมัน
สะสมที่สะโพกและต้นขา แต่จากผลการศึกษาพบว่าผลกระทบที่เกิดจากไขมันที่หน้าท้อง น้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นหรือดัชนีมวลกาย
7. โรคอ้วนทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งมดลูกหรือไม่?
โรคอ้วนเกี่ยวข้องกับมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก (endometrium) ผู้หญิงอ้วนมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นประมาณ 2-4 เท่า เทียบกับผู้หญิงน้ำหนักปกติ และส่วนใหญ่อยู่ใน
สังคมที่ร่ำรวย
ปัจจุบันนี้ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดว่าโรคอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่าการกระตุ้นจากฮอร์โมน และระดับเอสโตรเจน
และอินซูลินที่สูงอาจจะเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคได้
8. โรคอ้วนทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้หรือไม่?
โรคมะเร็งลำไส้พบมากขึ้นในคนที่อ้วนมากกว่าคนที่น้ำหนักปกติ มีรายงานการเพิ่มปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ ในผู้ชายที่มีดัชนีมวลกายสูง ส่วนความสัมพันธ์ระหว่าง
ค่าดัชนีมวลกายและปัจจัยเสี่ยงในผู้หญิงพบว่าน้อยหรือแทบไม่มีเลย
ซึ่งต่างจากมะเร็งเต้านมและมะเร็งมดลูก เอสโตรเจนจะเป็นสิ่งป้องกันมะเร็งลำไส้ในผู้หญิง อย่างไรก็ตามหากมีทั้งโรคอ้วนและระดับเอสโตรเจนก็อาจจะมีอิทธิพลต่อ
มะเร็งลำไส้ด้วย ผู้หญิงที่มีค่าดัชนีมวลกายสูงทั้งวัยก่อนหมดประจำเดือนและหลังหมดประจำ เดือนพบว่าเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งลำไส้เหมือนกับผู้ชายที่มีค่าดัชนี มวลกาย
สูง สำหรับผู้หญิงวัยหลังหมดประจำเดือนและไม่ได้รับฮอร์โมน estrogen เสริม พบว่าไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้
บางการศึกษาพบว่าภาวะอ้วนลงพุงอาจจะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญในการเกิดมะเร็งลำไส้ ในผู้ชายค่าดัชนีมวลกายสูงมีความสัมพันธ์กับไขมันสะสมที่หน้าท้อง แต่ในผู้หญิง
ไขมันจะกระจายสะสมที่สะโพกและต้นขา ดังนั้นจึงมีวิธีการวัดไขมันหน้าท้อง 2 วิธี ได้แก่ อัตราส่วนของรอบเอวและสะโพก หรือความยาวรอบเอว ซึ่งอาจจะเป็นตัวทำนายความ
เสี่ยงของมะเร็งลำไส้ได้ดีกว่า มีหลายการศึกษาที่เปรียบเทียบระหว่างอัตราส่วนของรอบเอวและสะโพกกับความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ในผู้หญิง แต่อย่างไรก็ตามมี 1 การศึกษาที่
พบว่ามีการเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ในผู้หญิงที่อัตราส่วนของรอบเองและสะโพกสูงซึ่งพบว่าอาจจะเกี่ยวกับการไม่ได้ออกกำลังกาย
กลไกของโรคอ้วนที่ทำให้เกิดมะเร็งลำไส้มีการตั้งสมมติฐานว่าอาจจะเกิดจากระดับของอินซูลินที่สูงไปกระตุ้นการเจริญเติบโตของก้อนเนื้อ
9. โรคอ้วนทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งไตหรือไม่?
จากการศึกษาพบว่ามีความเกี่ยวข้องกันระหว่างชนิดของมะเร็งที่ไต (renal cell carcinoma) และโรคอ้วนในผู้หญิง ซึ่งในบางรายงานพบว่าเพิ่มความเสี่ยง
ประมาณ 2-3 เท่าเมื่อเทียบกับคนน้ำหนักปกติ
ส่วนในผู้ชายจากผลการศึกษายังสรุปไม่แน่ชัด (ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกันน้อยหรือแทบไม่เกี่ยวข้องกัน) มีการศึกษาแบบ meta-analysis พบว่าความเสี่ยงในผู้ชายและ
ผู้หญิงเท่ากัน โดยโรคมะเร็งของไตพบประมาณ 36% ในผู้ที่น้ำหนักเกินและประมาณ 84% ในผู้ที่อ้วน
กลไกของโรคอ้วนที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งที่ไตยังไม่แน่ชัด การถูกกระตุ้นจากฮอร์โมนเอสโตรเจนและแอนโดนเจนอาจจะเป็นกลไกหนึ่งที่สามารถอธิบายได้
10. โรคอ้วนทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งหลอดอาหารหรือกระเพาะอาหารหรือไม่?
ภาวะน้ำหนักเกินและความอ้วนต่างเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งหลอดอาหารชนิด adenocarcinoma ประมาณ 2 เท่าเมื่อเทียบกับคนน้ำหนักปกติ และเพิ่ม
ความเสี่ยงเล็กน้อยต่อการเกิดโรคกระเพาะอาหาร (ส่วนที่ต่อจากหลอดอาหาร) การศึกษาส่วนใหญ่ไม่ได้ศึกษาเกี่ยวกับมะเร็งหลอดอาหารชนิดอื่น ๆ เช่น squamous cell
carcinomaการเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งหลอดอาหารชนิด adenocarcinoma เกี่ยวข้องกับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น, การสูบบุหรี่ และอายุน้อยกว่า 59 ปี
กลไกของโรคอ้วนที่ทำให้เกิดมะเร็งหลอดอาหารชนิด adenocarcinoma ยังไม่แน่ชัด เชื่อว่าภาวะกรดไหนย้อนกลับจากกระเพาะอาหารในผู้ป่วยโรคอ้วนอาจจะ
ทำให้เพิ่มความเสี่ยงได้ แต่มีบางการศึกษาพบว่าในผู้ที่ดัชนีมวลกายสูง มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเท่า ๆ กันเมื่อเทียบในกลุ่มที่มีและไม่มีภาวะกรดไหลย้อน
11. โรคอ้วนทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากหรือไม่?
มีการรายงานมากกว่า 35 การศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก พบว่าไม่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน แต่ก็มีบางรายงานที่พบว่าผู้ชายอ้วนมีความเสี่ยง
สูงกว่าผู้ชายที่น้ำหนักปกติโดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมากชนิดลุกลาม (aggressive tumor) มี 1 การศึกษาที่รายงานว่าความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในผู้ชายที่อัตราส่วนของรอบเอวต่อ
สะโพกสูงจึงเชื่อว่าภาวะไขมันสะสมที่หน้าท้องสัมพันธ์กับมะเร็งต่อมลูกหมาก
กลไกของโรคอ้วนที่ทำให้เกิดมะเร็งต่อมลูกหมากเชื่อว่าเกิดจากระดับของอินซูลิน, leptin และ IGF-1 (insuline-like growth factor-1)
12. มีหลักฐานบ่งชี้ว่าโรคอ้วนสัมพันธ์กับมะเร็งถุงน้ำดี, มะเร็งรังไข่ หรือมะเร็งตับอ่อนหรือไม่?
การเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งถุงน้ำดีสัมพันธ์กับโรคอ้วนโดยเฉพาะในผู้หญิง ซึ่งอาจจะเกี่ยวกับนิ่วในถุงน้ำดีซึ่งพบบ่อยในคนอ้วน และเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของมะเร็ง
ถุงน้ำดีอย่างไรก็ตามจากงานวิจัยยังไม่สรุปแน่ชัด
ผลของโรคอ้วนต่อมะเร็งรังไข่ยังไม่ชัดเจน บางการศึกษามีรายงานว่าความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในคนอ้วน แต่บางรายงานพบว่าไม่สัมพันธ์กัน แต่มีการศึกษาที่ผ่านมาเร็วๆ นี้พบว่า
ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในคนอ้วนกลุ่มวัยรุ่นถึงวัยผู้ใหญ่ตอนต้น ส่วนในผู้สูงอายุที่อ้วนไม่เพิ่มความเสี่ยง
มีการศึกษาที่รายงานเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างโรคอ้วนและมะเร็งตับอ่อน มี 1 การศึกษาเร็ว ๆ นี้พบว่าโรคอ้วนเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งตับอ่อน เฉพาะผู้ที่ไม่ได้
ออกกำลังกายและมีการศึกษาแบบ meta-analysis พบว่า คนอ้วนเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งตับอ่อนประมาณ 19% เมื่อเทียบกับผู้ที่น้ำหนักปกติ
13. การป้องกันไม่ให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นช่วยลดปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็งหรือไม่?
จากการศึกษาส่วนใหญ่ได้ข้อสรุปว่าการป้องกันไม่ให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นช่วยลดปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็งได้ แม้ว่าปัจจุบันนี้ยังไม่มีการศึกษาแบบ control clinical trial
เกี่ยวกับโรคมะเร็งและการป้องกันไม่ให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น แต่มีการศึกษาแบบ observation พบว่าการป้องกันไม่ให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้, มะเร็งเต้านม
(วัยหมดประจำเดือน), มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก, มะเร็งของไต และมะเร็งหลอดอาหาร แต่ข้อมูลยังจำกัดในมะเร็งไทรอยด์และมะเร็งอื่น ๆ
14. การลดน้ำหนักช่วยลดปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็งหรือไม่?
ยังมีข้อมูลไม่เพียงพอเกี่ยวกับการลดน้ำหนักต่อปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็ง การศึกษาแบบ observation เกี่ยวกับการลดน้ำหนักมีจำกัด และมีบางการศึกษาพบว่าความ
เสี่ยงของการเกิดมะเร็งเต้านมลดลงในคนที่น้ำหนักลดลง อย่างไรก็ตามการศึกษาส่วนใหญ่ยังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัด
การศึกษาเร็ว ๆ นี้พบว่าผู้ที่ตั้งใจและลดน้ำหนักได้มากกว่าหรือเท่ากับ 20 ปอนด์และไม่กลับมาอ้วนอีก มีอัตราการเกิดมะเร็งเท่ากับผู้ที่สุขภาพสมส่วนซึ่งไม่เคย
ลดน้ำหนัก อย่างไรก็ตามในการศึกษาส่วนใหญ่ยังไม่สามารถสรุปได้ชัดเจน
15. การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอช่วยลดปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็งหรือไม่?
ขณะนี้ยังไม่มีการศึกษาแบบ control clinical trial ถึงผลของการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอต่อความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง อย่างไรก็ตามมีการศึกษาแบบ
observation เกี่ยวกับการออกกำลังกาย พบว่าลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งลำไส้และมะเร็งเต้านม
มะเร็งลำไส้ : ในปี 2002 มีการทบทวนการศึกษาแบบ observational พบว่า การออกกำลังกายระดับปานกลางช่วยลดมะเร็งลำไส้ได้ประมาณ 50% เช่น การเดินเร็ว
ประมาณ 3-4 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
จากการศึกษาส่วนใหญ่ พบว่าทั้งคนอ้วนและคนที่น้ำหนักปกติ การออกกำลังกายจะช่วยป้องกันมะเร็งได้
มะเร็งเต้านม : ความสัมพันธ์ระหว่างการออกกำลังกายและมะเร็งเต้านมยังไม่มีหลักฐานแน่ชัด การศึกษาส่วนใหญ่เกี่ยวกับมะเร็งเต้านมจะทำในกลุ่มวัยหมดประจำเดือน
มีการรายงานจากสถาบัน woman's health initiative พบว่าการออกกำลังกายในหญิงวัยหมดประจำเดือน เช่น การเดินประมาณ 30 นาทีต่อวันช่วยลดการเกิดมะเร็งเต้านมลง
20% ส่วนในคนที่น้ำหนักปกติ การออกกำลังกายจะช่วยลดมะเร็งเต้านมถึง 37% ส่วนผลด้านการป้องกัน (protective effect) ยังไม่สามารถป้องกันมะเร็งเต้านมได้ในผู้หญิง
ที่น้ำหนักเกินหรืออ้วน
16. กลไกของชีววิทยาที่อธิบายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างโรคอ้วนและโรคมะเร็งคืออะไร?
กลไกทางชีววิทยาอธิบายเกี่ยวกับโรคอ้วนทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งซึ่งอธิบายไว้ต่าง ๆ กันตามชนิดของโรคมะเร็ง (ดังคำถามที่ 6-11) สำหรับกลไกยัง
ไม่ทราบแน่ชัด เชื่อว่าอาจาเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเพศ (เช่น เอสโตรเจน, โปรเจสเตอโรน และแอนโดรเจน) อินซูลินและ IGF-1 ในคนอ้วนซึ่งจะเพิ่มปัจจัย
เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม, มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก และมะเร็งลำไส้
ฮอร์โมนเพศจะจับกับ globulin ซึ่งเป็นตัวหลักในการพาโปรตีนไปกับพลาสมา (plasma) ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในคนอ้วน
17. เกี่ยวกับงานวิจัยในปัจจุบัน
ถึงแม้ว่าจะมีงานวิจัยที่ทำในประชากรจำนวนมากเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างโรคอ้วนกับโรคมะเร็ง ในบางการศึกษาเกี่ยวกับการควบคุมน้ำหนัก การออกกำลังกาย และ
การใช้พลังงาน (การบริโภคและการเผาผลาญพลังงาน) ต่อโรคมะเร็ง โรคมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม ผลการศึกษายังไม่สรุปแน่ชัดว่าความเสี่ยงเพิ่มขึ้นใน
กลุ่มคนอ้วน จากการที่น้ำหนักเพิ่มขึ้น, การบริโภคอาหารไขมันสูงหรืออาหารที่มีพลังงานสูง, ขาดการออกกำลังกาย หรือทั้ง 3 ปัจจัย
ในปี 2002 สถาบัน International Agency for Research on Cancer (IARC) ได้รายงานถึงการควบคุมน้ำหนัก, การออกกำลังกาย และโครมะเร็งซึ่งได้แนะนำ
ถึงงานวิจัยในอนาคตดังนี้
- การศึกษาเกี่ยวกับการป้องกันระยะยาวจากผลของการเปลี่ยนการบริโภคที่ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นและความเสี่ยงของโรคมะเร็ง
- การศึกษาเกี่ยวกับการป้องกันระยะยาวจากผลของการออกกำลังกาย (ตามระดับชนิดและความถี่ของการออกกำลังกาย) ต่อความสัมพันธ์ระหว่างน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นกับ
ความเสี่ยงของโรคมะเร็ง
- การศึกษาเกี่ยวกับการป้องกันระยะยาวจากผลของการเปลี่ยนแปลงการบริโภคและการออกกำลังกายต่อโรคอ้วนและความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง
- การศึกษาเกี่ยวกับการป้องกันการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักและส่งเสริมการออกกำลังกายในระดับสังคม
&nb